
หากเราต้องการให้คนเข้ามาดูเว็บไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น เราจะต้องรู้วิธีการทำการตลาดออนไลน์ วิธีที่จะทำให้เว็บไซต์เราเป็นที่รู้จัก และติดอันดับการค้นหาในหน้าแรก ๆ ถ้าพูดถึงการทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้การทำ SEO นั้นสำคัญมาก แล้ว SEO คืออะไร และจะช่วยให้เว็บไซต์ของเราปังขึ้นได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ..
SEO คืออะไร?
SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา หรือ Search Result เช่น Google โดยเว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ที่แสดงผลการค้นหาอยู่เป็นอันดับต้น ๆ บน Google ก็ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะทำให้คนเข้าถึงเว็บไซด์ได้มากขึ้น และยังสามารถเพิ่มยอดขายทางธุรกิจ หรือเอาชนะคู่แข่งได้
เทคนิคในการทำ SEO
แน่นอนว่าการทำข้อสอบย่อมต้องมีเทคนิค และสำหรับเทคนิคในการทำ SEO นั้นมีดังนี้
1. Mobile Friendly เป็นการออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้สามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสมกับทุกอุปกรณ์ที่เราใช้งาน เช่น สมาร์ทโฟน หรือแท็บเลท
2. Secure (HTTPS) ปัจจุบันความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ถือเป็นเรื่องสำคัญต่อผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว หรือการเข้ารหัสต่าง ๆ ฉะนั้น HTTPS จึงเป็นการสร้างระบบการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งาน
3. Speed ความเร็วของการแสดงผลบนเว็บไซต์ ยิ่งเว็บไซต์ไหนที่ click ปุ๊บแล้วแสดงผลปั๊บ ก็จะยิ่งเพิ่มยอดคนเข้ามาดูมากขึ้น ซึ่งเราสามารถตรวจสอบ speed ของเว็บไซต์เรา ได้ที่
https://developers.google.com/speed/pagespeed/insights/
นอกจากนี้ ในส่วนของด้านเนื้อหาบนเว็บไซต์ เราจะต้องมี ‘Keyword’ ที่เฉพาะเจาะจง เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาที่ตรงประเด็นแก่ผู้ใช้งาน และต้องมี ‘Content’ ที่สอดคล้องกับ ‘Keyword’ โดยในตัว ‘Content’ ต้องเน้นความยาวของเนื้อหา ต้องมีหัวข้อ ภาพประกอบ อ้างอิง และทั้งหมดนี้จะต้องสอดคล้องกับ ‘Keyword’ สรุปการทำงานคร่าว ๆ ของ Search Engine คือ การค้นหา จัดอันดับ และแสดงผลลัพธ์ ให้ใกล้เคียงกับคำที่ผู้ใช้ค้นหาให้ได้มากและรวดเร็วที่สุด
เรามาส่องดูเทรนด์ SEO ในปี 2022 กันดีกว่า ว่ามีการอัพเดตอะไรใหม่ ๆ บ้าง
1. MUM Algorithm ตัวใหม่ของ Google
MUM ย่อมาจาก “Multitask Unified Model” Algorithm ตัวนี้ถูกสร้างมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการค้นหาซึ่งมีความทันสมัยมากขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการค้นหาหลาย ๆ ครั้ง สามารถตีความการแสดงผลด้วยรูปภาพ วิดีโอ และภาษาที่ซับซ้อนได้ให้ผลการค้นหาที่แม่นยำเป็นประโยชน์มากขึ้น ในส่วนของการพัฒนาเว็บไซต์ เราเองก็ต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์กับ MUM Algorithm ในปีนี้ ตัวเนื้อหาต้องปรับปรุงให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น และเพิ่มภาพหรือมัลติมีเดียต่าง ๆ เข้าไปแต่ต้องจัดให้มีความเหมาะสมและสัมพันธ์กับเนื้อหา
2. Voice Search การค้นหาด้วยเสียง
การค้นหาด้วยเสียงเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่นิยมใช้ในการค้นหา เพราะสร้างความสะดวกสบายและรวดเร็วใช้กับผู้ใช้งาน เช่น การสั่งการด้วยเสียงของ Siri บน Apple มีการคาดการ์ณว่าการค้นหาด้วยเสียงจะเพิ่มสูงขึ้นปีนี้ เนื้อหาเว็บไซต์จึงต้องมีการปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้น เช่น การเขียนบทความด้วยภาษาพูดให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เพิ่มความยาวของเนื้อหาให้สัมพันธ์กับการค้นหาด้วยเสียง มีการถามตอบภายในเนื้อหา เพื่อให้ Algorithm เข้าถึงการค้นหาได้แม่นยำมากขึ้น
3. การทำคอนเทนต์ในรูปแบบ Video
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำคอนเทนต์ในรูปแบบ Video กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ในประเทศไทย ประเทศในแถบเอเชีย รวมถึงสหรัฐอเมริกา มีรายงานว่ายอดผู้ใช้งานของ Youtube เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 1,000 ล้านคน และมีแนวโน้มว่าสื่อวิดีโอจะเป็นอันดับ 1 ของเนื้อหาที่มีคนเข้าถึงมากที่สุด การมีวิดีโอคอนเทนต์ในเว็บไซต์จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้คนเข้าถึงเว็บไซต์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องมีการอธิบายเนื้อหาภายในคลิปประกอบไปด้วย
4. Keyword รอง (Sub Keyword)
Sub Keyword หรือ Keyword รอง คือ การเลือกคีย์เวิร์ดอีกหนึ่งคำเข้ามาใส่ในบทความโดยให้ความสำคัญและปริมาณใกล้เคียงกันกับ Keyword หลัก โดยเน้นไปที่ความเป็นธรรมชาติของภาษาพูดจะช่วยให้การทำงานของ Algorithm ค้นหาเจอได้ง่ายมากขึ้น เช่น เราอาจมี Keyword หลักเป็น “วิธีทำขนมปังรสส้ม” และ Keyword รองเป็น “การทำขนมปังส้ม” เพื่อช่วยให้มีโอกาสการเข้าถึงเนื้อหาของเราได้ง่ายขึ้น โดยที่การใช้ Keyword รองจะต้องเลือกใช้รูปแบบที่มีความสอดคล้องและเป็นธรรมชาติกับ Keyword หลักด้วย
5. Core Web Vitals
ตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการจัดอันดับ ระยะเวลาที่ใช้โหลดเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุด (LCP), ระยะเวลาที่ใช้ในการโต้ตอบกับผู้ใช้ (FID) ,การเคลื่อนไหวในขณะที่กำลังดาวน์โหลด (CLS) ควรมีการปรับปรุงเว็บไซต์อยู่สม่ำเสมอ และเช็ค Core Web Vitals ให้มีประสิทธิภาพเพื่อการจัดอันดับเว็บไซต์ที่ดี
ตรงจุดนี้ หากได้ทีมพัฒนาที่เก่ง ก็จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของเรา support การทำงานของ SEO มากขึ้น ซึ่งหากต้องการคำปรึกษาทาง APOLLO 21 ของเรายินดีพร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องนี้เช่นกันนะจ๊ะ
6. หลักเกณฑ์การกำหนดคุณภาพเนื้อหา EAT คืออะไร ?
EAT – ประกอบด้วย 3 ปัจจัยเสาหลัก คือ
1. ความเชี่ยวชาญ – วัดจากปริมาณเนื้อหา ความละเอียดและทำความเข้าใจได้ง่าย รวมถึงมีภาพประกอบ
2. ความเป็นเจ้าของ – วัดจากคุณภาพของเนื้อหาว่ามีความเป็นต้นฉบับมากเท่าใด โดยที่ Algorithm จะวัดจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน เช่น Backlink ที่กลับมาในตัวเนื้อหาหรือจำนวนการปรากฏของเนื้อหาของเราบนเว็บไซต์ใหญ่ ๆ เป็นต้น
3. ความน่าเชื่อถือ – วัดจากการให้ credit แหล่งอ้างอิงของเนื้อหา
หลักเกณฑ์นี้ถูกใช้เพื่อกำหนดว่าบทความหรือเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพและเป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ โดยที่ Algorithm ของ Google จะทำการวิเคราะห์คอนเทนต์ของเราตามปัจจัย 3 ข้อด้านบน เช่น เว็บไซต์ให้บริการกลุ่มคนที่เป็นวัยรุ่น ข้างในเนื้อหาอาจต้องมีสื่อวิดีโอประกอบเพื่อให้เหมาะกับกลุ่มคนที่เข้ามาอ่าน และให้เครดิตข้อมูลเนื้อหาที่ค้นคว้ามา ก็จะทำให้เว็บไซต์มีคุณสมบัติที่ตรงกับหลักเกณฑ์ EAT มากขึ้น
7. SEO Automation
เป็นไปได้ว่าในอนาคตการใช้โปรแกรมอัตโนมัติสำหรับการทำการตลาดจะแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้เป็นประโยชน์มากในมุมมองของการทำการตลาดออนไลน์เพราะสะดวกสบาย วัดผลได้แม่นยำ เปรียบเทียบตามช่วงเวลา และบอกเปอร์เซ็นต์ภาพรวมของธุรกิจได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น Marketing Automation เป็นการทำการตลาดแบบอัตโนมัติ และเป็นการผสานระหว่างแผนการและเทคโนโลยี เพื่อที่จะสามารถเก็บข้อมูล ทำความเข้าใจลูกค้า และสามารถสื่อสารกลับไปยังลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดย Marketing Automation ช่วยให้เราสามารถทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ได้จำนวนมาก และช่วยให้การทำการตลาดและยอดขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เห็นไหมว่า การทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากเราเรียนรู้เทคนิควิธีการและสามารถปรับตัวให้ทันสถานการณ์อยู่เสมอ เราก็จะสามารถก้าวขึ้นไปอยู่อันดับสูง ๆ บน Search Result ได้ หากใครมีเทคนิคดี ๆ ก็สามารถนำมาแชร์กันได้น้า
ที่มา:
https://magnetolabs.com/blog/update-seo-trends/
https://contentshifu.com/blog/google-algorithm-summary…
https://www.techfunnel.com/martech/video-marketing-trends/
https://www.searchenginejournal.com/2022-seo…/432620/…
0 Comments